Monday, November 14, 2011

Day 5: Kyoto...Toei Uzumasa Movie land วัดคุรามะ


เช้าวันนี้ขอเปลี่ยนโหมดนิดนึง หลังจากตระเวนเที่ยววัดและศาลเจ้ากันมาหลายวัน จนชักจะสับสนว่า เอ๊ะ! เรากำลังมาทำบุญเก้าวัดกันอยู่รึเปล่า??
สถานที่แรกในวันนี้ เป็น Theme Park ที่อยู่ในย่าน Uzumasa ของเกียวโต มีชื่อว่า Toei Uzumasa Movie Land หรือชื่อญี่ปุ่นว่า Uzumasa Eigamura (ถ้าพูด Keyword คำนี้ออกไปล่ะก็ ชาวเกียวโตจะต้องร้องอ๋อ และชี้ทางคุณ ๆ มาได้ไม่มีหลง)
เจ้าของ คือ บริษัท Toei Co., Ltd. บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรายการทีวี และภาพยนตร์ของญี่ปุ่น

ดูจากชื่อแล้ว พอจะเดาทางออกแล้วใช่มั้ยคะ ว่า Theme ของเค้าคืออะไร?
ถ้ามาที่ Theme park แห่งนี้ คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศในยุคเอโดะ (ยุคที่มีซามูไรและท่านโชกุน) ยุคโชวะ
(ยุคที่คาบเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งสงครามสิ้นสุด). หลุดเข้าไปในโลกของยอดมนุษย์และเหล่าการ์ตูนญี่ปุ่นที่คุณชื่นชอบ และก็ได้เรียนรู้เบื้องหลังการถ่ายทำหนังซามูไรด้วย

นอกจากนี้ บางส่วนของพื้นที่ ยังคงใช้เป็นโรงถ่ายหนังจริง ๆ อย่าเผลอเดินเข้าไปล่ะค่ะ เดี๋ยวโดนจับไป casting เป็นดาราญี่ปุ่นไม่รู้ตัว

จากสถานีเกียวโต นั่งรถไฟ JR สาย Sagano Line ลงที่สถานี Uzumasa ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นเองค่ะ จากนั้นก็เดินต่ออีกราว ๆ 15 นาที (อย่าลืม Keyword ที่ให้ไปนะคะ รับรองไม่หลงค่า) ค่าบัตรผ่านประตูสำหรับ Toei Uzumasa Movie Land คือ 2,200 yen เวลาทำการจะแบ่งออกเป็นดังนี้ค่ะ

ช่วงเดือนมีนาคม ถึง เดือน พฤศจิกายน             เปิดตั้งแต่ 9.00 – 17.00
ช่วงเดือนธันวาคม ถึงเดือน กุมภาพันธ์               เปิดตั้งแต่ 9.30 – 16.00
Toei Uzumasa Movie Land
ถึงประตูทางเข้าแล้ว
ไปดูโซนต่าง ๆ กันค่ะ เริ่มจากยุคเอโดะ
ร้านรวงต่าง ๆ ในสมัยเอโดะ
สภาพตรอกซอกซอย
โพเซดอน รัชดาฯ เอ๊ย! หอนางโลม นางคณิกา...แล้วแต่จะเรียก
เกี้ยว...พาหนะสำหรับเดินทาง ไม่กล้าลองนั่ง เดี๋ยวขาเกี้ยวหัก ไม่มีตังค์ชดใช้
บัลลังก์ท่านโชกุนโทกุกาวะ (Tokugawa)
  ที่เห็นเป็นสัญลักษณ์กลม ๆ เรียกว่า Kamon หรือตราประจำตระกูล และแน่นอน นี่คือตราประจำตระกูลของโทกุกาวะค่ะ
โอ้ว...เจอท่านซามูไรหน้ามนเข้าแล้ว!
ท่านซากะโมโต เรียวมะ รึเปล่า
ซากาโมโต เรียวมะ (Sakamoto Ryoma)  คือ ซามูไรหัวสมัยใหม่ผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของญี่ปุ่น เขาป็นผู้ก่อตั้ง ไคเอ็นไต ซึ่งเป็นบริษัทพาณิชย์นาวีแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น บุคลิกที่โด่ดเด่นคือเขาเป็นซามูไรที่ชอบใส่รองเท้าบู้ทตามแบบตะวันตก
ท่านซากะโมโต เรียวมะ ตัวจริง เสียงจริง (ภาพจาก Wikipedia)
ต่อไป เข้าสู่บ้านเมืองในยุคโชวะ หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม ชาวญี่ปุ่นได้เกิดแรงฮึดที่จะบูรณะประเทศและเป็นผู้นำทางด้านเศษฐกิจ จะเห็นว่า มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ มากมายเกิดขึ้นในยุคนี้ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า
บ้านชาวญี่ปุ่นในยุคโชวะ
ร้านค้า
การคมนาคม
โซนต่อไป...โซนการ์ตูน ใครเป็นใครกันบ้าง แฟนคลับทั้งหลายเชิญรำลึกกันตามสบายค่า




สุดท้าย มี show ให้ดูด้วย แล้วแต่โปรแกรมของวันนั้น ๆ ว่าจะเป็น show นินจา หรือ ซามูไร จัดแสดงในส่วนที่เรียกว่า Nakamuraza Theater แต่ห้ามบันทึกภาพขณะมีการแสดง (เดี๋ยวเพื่อน ๆ จะรู้มุขกันหมด) จึงได้มาแต่บรรยากาศกับโฉมหน้านักแสดงบางส่วนนะคะ นอกจากจะได้ตื่นเต้นกับวิทยายุทธ์อันสูงส่งแล้ว บอกได้อีกคำว่า ฮา.....
Nakamuraza Theater
โฉมหน้านักแสดง
ก่อนกลับแวะกินอุด้งก่อนหนึ่งชาม แต่ที่สะดุดตาคือ ซองตะเกียบค่ะ
เป็นรูปดาบซามูไรด้วย...กินไม่ระวัง  ลิ้นจะขาดมั้ยเนี่ย
จากนั้นเราจึงกล่าวอำลา Toei Uzumasa Movie Land แล้วเพื่อจะเดินทางออกสู่เขตชนบททางตอนเหนือของเกียวโต ชื่อว่า Kurama
ระหว่างทาง พบสวนหน้าบ้านชาวญี่ปุ่นน่ารัก ๆ อีกแล้ว
มีใบไม้แดงต้นเล็ก ๆ จุ๋มจิ๋ม ๆ ....กรี๊ดสสสส์
มีรถไฟท้องถิ่นแล่นผ่าน หอบเอาสายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาปะทะหน้า... เคลิ้มเหมือนอยู่ในหนังรัก Romantic ที่มีพระเอกเป็นนักเรียนไฮสคูล ...ครุคริ
เอาล่ะค่ะ เลิกเพ้อ...แล้วมาเดินทางกันต่อ Kurama มีความพิเศษเยี่ยงไร ใยจึงต้องเดินทางไปถึงที่นั่น

คุรามะ คือ เขตชนบทที่อยู่ทางด้านเหนือของเกียวโต ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 1 ชั่วโมง สถานที่ท่องเที่ยวได้แก่ออนเซ็นและวัด คุรามะ-เดระ (Kurama-dera) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา ใช้เวลาเดินจากประตูใหญ่ที่ตีนเขาจนถึงยอดเขาใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที แต่ถึงกระนั้น ทางวัดก็มี Cablecar ไว้อำนวยความสะดวกค่ะ

สามารถเดินทางจากเกียวโตไปยังคุรามะ โดยใช้รถไฟท้องถิ่น สาย Eizan railway ค่ะ ระหว่างเส้นทางที่ไปยังคุรามะ ความพิเศษคือ อุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีช่วงสั้น ๆ ที่คร่อมบนเส้นทางรถไฟ ถึงกับมีการจัดรถไฟขบวนพิเศษที่ออกแบบหน้าต่างให้กว้างเป็นพิเศษเพื่อดูความสวยงามกันชัด ๆ และมี light up ตอนกลางคืนด้วย

ภาพทิวทัศน์ที่มองเห็นจากหน้าต่างรถไฟ
ทิวเขาอีกด้านนึงขณะที่รถไฟกำลังแล่นผ่าน
ช่วงที่รถไฟแล่นผ่านอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสี

ทิวเขาบริเวณสถานีคุรามะ
เทนกุ (Tengu) ปีศาจในตำนานที่เชื่อกันว่าสามารถเรียกพายุได้ สัญลักษณ์ประจำสถานีคุรามะ
ผ่านมาเจอพ่อค้าปลาปิ้งยิ้มแฉ่งให้
ต้องมนต์เสน่ห์รอยยิ้มพ่อค้า ถึงกับต้องซื้อปลามาไม้นึง...500 yen หรือ...150 บาท หลวมตัวไปได้ไงเนี่ย  -__-
หน้าประตูวัดคุรามะเดระ (Kurama-dera)
วัดคุรามะมีค่าเข้าชม 200  yen เปิดตั้งแต่ 9.00 – 16.00 น. ค่ะ
เดินเลยไปอีกนิดพบภาพนูนสูงหลวงเณรน้อยเรียกรอยยิ้ม
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ตัววัดจริง ๆ นั้นอยู่บนภูเขาโน่นนนนน ดังนั้น ขาขึ้นเราจึงตกลงใจที่จะออมแรงด้วยการขึ้น   Cablecar สนนราคาเที่ยวละ 200  yen
ตั๋วขึ้น Cablecar ลักษณะเหมือนใบเสมาธรรมจักร
Cablecar มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ
จากนั้นจึงเดินขึ้นเขาชมทิวทัศน์ไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ต้นสูงใหญ่
เขียวครึ้มไปหมดแบบนี้ล่ะค่ะ
เมื่อใกล้ถึงยอดเขา ก็ได้เห็นใบไม้แดงอีกครั้ง
ถึงบ่อล้างมือแล้ว แสดงว่า ตัววัดคงจะตั้งอยู่ไม่ไกล
และในที่สุดก็ถึงศาลาที่มีหลวงพ่อประดิษฐานอยู่
ควันธูปอบอวลชวนให้นึกถึงอุ่นไอของพระพุทธศาสนา แต่ทว่าอากาศเย็น...เยือก
มีรูปของ เทนกุ (Tengu) บนผนังไม้ด้านนึงด้วย
มุมนึงจากจุดชมวิว
จริง ๆ ยังสามารถขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีก แต่บ่ายสามกว่าแล้ว เลยกลับดีกว่า ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
ระหว่างทางเจอต้นไม่ใหญ่มากกกกก ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยปี
มีเชือกเส้นใหญ่พันอยู่ บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ
เมื่อออกมาจากวัดคุรามะ จะพบทางแยกไปออนเซ็น (Onsen) ตอนแรกก็มีอยู่ในโปรแกรมเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริง...ใจไม่ถึง แหะ ๆ
ขากลับได้นั่งรถไฟขบวนพิเศษ สีหวานจ๋อย
ดูจากผู้โดยสาร อายุรวมกันคงได้ราว ๆ 5,000 ปี
ทุกคนหาทำเลเหมาะ ๆ เพี่อรอชม highlight ของงาน คือ ช่วงเวลาที่รถไฟแล่นผ่านอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีที่ light  up ในเวลากลางคืน พอใกล้จะถึง ไฟจะดับทั้งขบวนเพื่อให้มองเห็นใบไม้ที่ถูก light up ได้อย่างชัดเจน ถึงจุดนี้ คุณปู่คุณย่ากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เลย ...ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพมาฝาก เพราะคิดว่าคงจับภาพไม่ทัน ก็เลยขอดื่มด่ำแสงสีไปกับคุณปู่คุณย่าเงียบ ๆ ก็แล้วกัน ^_^
ระหว่างทางกลับ แวะเข้าไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารร้านนึง รู้สึกประทับใจ เพราะได้ฟิวบ้าน ๆ เหมือนร้านตามสั่งบ้านเรา ไม่เหมือนร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้าที่ “เป๊ะ” ไปทุกกระเบียด

ร้านที่ว่า ก็คือร้านนี้แหละค่ะ

พอไปถึง คุณลุงเจ้าของร้านรีบโหวกเหวก “Japanese Only! Japanese Only! No English! No English!
แกบอกว่า “No English” แต่แกกำลังพูดอังกฤษใส่แฮะ
เรามีรึจะถอย ยังคงดื้อดึงจะกินข้าวร้านแกให้ได้ บุ้ยใบ้กะแกว่า เราจะสั่งอาหารตามตัวอย่างในตู้หน้าร้านลุงนี่แหละ สุดท้ายแกก็ยอม พวกเราจึงไปนั่งข้างใน

บรรยากาศข้างในก็ประมาณนี้ค่ะ คิดว่าช่วง prime time คงจะคึกคักไม่ใช่เล่น
ดูเหมือนคุณลุงแกจะคุมร้านอยู่คนเดียว ดีไม่ดีเมามันส์ไปกะลูกค้าด้วยเลยรึเปล่าไม่รู้เนี่ย
นี่คือข้าวหน้าเนื้อฝีมือแกค่ะ อร่อยทีเดียวเลยล่ะ
อิ่มท้องแล้วก็กลับโรงแรม นอนเอาแรงสำหรับวันรุ่งขึ้นต่อไป...

1 comment:

  1. พี่คะ หนูขออนุญาตใช้รูปพี่ในบล๊อกไปเขียนบทความได้ไหมคะ หนูจะลงเครดิตให้บล๊อกพี่ด้วยค่ะ

    ReplyDelete